โรคสะเก็ดเงินกับอาหารเสริม GH3

อาหารเสริมGH3 กับการช่วยฟื้นฟูในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน

 

อาหารเสริมโกรทฮอร์โมน GH3 ช่วยผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินได้อย่างไร อาหารเสริมโกรทฮอร์โมน GH3 ช่วยฟื้นฟูผิวหนังให้กับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือโรคเรื้อนกวาง GH3 จะช่วยปรับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สมดุล โดยสารอาหารในอาหารเสริมจีเอชทรี ประกอบด้วยกรดอะมิโนและวิตามินที่สำคัญเช่น แอลอาร์จินีน แอลออร์นิทีน แอลไกลซีน แอลกลูตามีน แอลไลซีน แอลคาร์นิทีน เวย์โปรตีน เป็นต้น ซึ่งสารอาหารที่สำคัญเหล่านี้ทำหน้าที่ในการบำรุงต่อมใต้สมองให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถหลั่งโกรทฮอร์โมนได้มากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งโกรทฮอร์โมนนี้คือฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญในการสมดุลระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายนั่นเอง ซึ่งส่งผลดีอย่างยิ่งต่อผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน   เมื่อร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนได้มากขึ้น โกรทฮอร์โมนจะช่วยสมดุลระบบร่างกายให้อยู่ในสภาวะปกติ คือ สภาวะที่ร่างกายแข็งแรงปลอดโรคภัย ซึ่งทำให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ได้สมดุลขึ้น ทำให้โรคต่างๆที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผิดปกติมีอาการที่ดีขึ้นตามมานั่นเอง ซึ่งนั่นคือปัจจัยสำคัญของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน จึงทำให้ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวางมีอาการที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารเสริมที่บำรุงการหลั่งโกรทฮอร์โมน GH3 และยิ่งไปกว่านั้นสารอาหารเข้มข้นเหล่านี้ยังช่วยลดความเครียด สมดุลอารมณ์แปรปรวน ช่วยอาการนอนไม่หลับ ทำให้หลับสนิทขึ้น และลดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น แข็งแรง สดชื่น กระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้นอีกด้วย

 

ระยะเวลาการเห็นผล: ระยะเวลาเห็นผลของอาหารเสริมบำรุงโกรทฮอร์โมน GH3 ที่ช่วยฟื้นฟูผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินจะค่อนข้างรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของผิวหนังตั้งแต่ 1-2 เดือนแรก ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง  โดยส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการของผื่นสะเก็ดเงินที่ผิวหนังจะค่อยๆร่อนออกไป และผิวเนื้อส่วนที่ดีจะขึ้นมาแทนอย่างเห็นได้ชัด สูตรที่แนะนำการรับประทานที่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินคือ ในช่วง 1-3 เดือนแรก รับประทานตอนท้องว่าง วันละ 4 เม็ด โดยแบ่งทาน 2 เม็ดตอนเช้าหลังตื่นนอน และ 2 เม็ดก่อนนอน และเมื่ออาการของสะเก็ดเงินหายหรือดีขึ้นในระดับที่พอใจแล้ว สามารถลดปริมาณลงมาเหลือรับประทานวันละ 1-2 เม็ด * ถ้าผิวหนังกลับมาเป็นปกติ แนะนำทานต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 1 เม็ด เพื่อบำรุงให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรงสมดุลและลดโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีก   * หากรับประทานหรือทายาของแพทย์อยู่ ควรใช้ร่วมกันไป ไม่ควรหยุดยาเองโดยอัติโนมัติ และเมื่ออาการของโรคดีขึ้น แพทย์จะเป็นผู้ลดหรือหยุดยา * เมื่อหายหรืออาการดีขึ้นชัดเจนจนไม่ปรากฏผื่นสะเก็ดเงินแล้ว สามารถหยุดทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หรือแนะนำทานเสริมอย่างน้อยเพียงวันละ 1 เม็ด เพื่อช่วยบำรุงและสมดุลภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงตลอดเพื่อลดโอกาสไม่ให้กลับมาเป็นอีกในอนาคต

 

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม GH3 เป็นอาหารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารเคมีหรือสารสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบ ทำให้ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สามารถทานต่อเนื่องหรือหยุดทานโดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย สารอาหารสกัดมาจากหัวน้ำนมเหลืองและถั่วขาวที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้กรดอะมิโนเข้มข้นและวิตามินหลายชนิดที่ช่วยบำรุงต่อมใต้สมองให้หลั่งโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิจัยและพัฒนาสูตรมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านมาตราฐานองค์การอาหารและยา เลขที่ 10-1-04741-1-0414 และผ่านการรับรองมาตราฐานอุตสาหกรรม GMP , HACCP, และ HALAL คุณภาพสูง

 

ราคาโปรโมชันวันนี้ ราคาเต็มกล่องละ 2,600 บาท ลด 1,000 บาท เหลือ 1,600 บาท โปรโมชันชุดเซ็ต 5 กล่องขึ้นไป ลดอีกกล่องละ 100 บาท เหลือ กล่องละ 1,500 บาท โปรโมชันชุดเซ็ต 10 กล่องขึ้นไป ลดอีกกล่องละ 200 บาท เหลือ กล่องละ 1,400 บาท 1 กล่องมีจำนวน 30 เม็ด ตามสูตรการทานที่แนะนำ ในเดือนแรกรับประทานรวม 4 กล่อง เดือนที่สอง รับประทานรวม 2 กล่อง และเดือนที่สามเป็นต้นไปรับประทานเดือนละ 1 กล่อง


อ่านเนื้อหาตอนที่ 1 อาหารเสริม GH3 ช่วยโรคสะเก็ดเงินได้อย่างไร

สนใจติดต่อสอบถาม / สั่งซื้อ ฝ่ายขายโทร/Whatsapp/Line 08-1565-9174 อีเมล growthhormoneplus@gmail.com บริการจัดส่งฟรี EMS ทั่วประเทศไทย *ส่งต่างประเทศคิดราคาตามเรทจริงของไปรษณีย์ไทย   Audio ฟังเสียงสัมภาษณ์ตัวอย่างผู้ทานGH3ได้ที่นี่ คลิ๊กด้านล่างคลิ๊กเพื่อฟังสัมภาษณ์รีวิวผลลัพธ์การทานอาหารเสริมGH3จากคุณอภิวัฒน์ โรคสะเก็ดเงินคลิ๊กเพื่อฟังเสียงสัมภาษณ์รีวิวผลลัพธ์การทานอาหารเสริมGH3จากคุณเสน่ห์ โรคสะเก็ดเงิน

ดูรายละเอียดGH3กับโรคสะเก็ดเงินทั้งหมดได้ที่ www.psoriasisthailand.com

มารู้จักโรคสะเก็ดเงินกัน

โรคสะเก็ดเงิน คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “โซไรเอซิส (Psoriasis)” หรือเรียกกันในชื่ออื่นๆว่า โรคเรื้อนกวาง หรือ โรคสะเก็ดเงินสะเก็ดทอง สะเก็ดเงินคือการที่ผิวผลัดเซลล์ผิวผิดปกติ มีการสร้างเซลล์ผิวที่มากเกินไปทำให้ผิวหนาเป็นปื้นและมีการอักเสบเรื้อรัง มีลักษณะเป็นขุยๆสีขาวคล้ายสีเงินหรือสะเก็ดลอกออกมาได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นผื่นปื้นแดงขนาดใหญ่มากกว่า 10 มิลลิเมตร อาจมีตุ่มหนองได้ เกิดขึ้นได้บริเวณผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเสียดสีเช่นข้อศอก ข้อพับ หนังศรีษะ และเล็บมือเล็บเท้า อาจเป็นทั้งตัวหรือเป็นแค่บางส่วนของร่างกาย โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังชนิดเรื้อรังที่ยังไม่พบวิธีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถระงับหรือบรรเทาอาการได้

สะเก็ดเงินที่ขา สะเก็ดเงินบนเล็บ ผื่นสะเก็ดเงินที่ข้อศอก

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังที่มีโอกาสเกิดได้ในทุกคน กลุ่มที่เสี่ยงมากคือกลุ่มที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคสะเก็ดเงิน หรือมีการสืบทอดพันธุกรรมจากพ่อแม่ (หนึ่งในสามของผู้ป่วยโรคนี้มักพบประวัติของครอบครัวที่เคยมีคนเป็นโรคนี้มาก่อน) และในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอและเสียสมดุลก็ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงขึ้น

เด็กสามารถเป็นโรคสะเก็ดเงินได้หรือไม่

ในเด็กสามารถเป็นโรคนี้ได้เช่นกันแต่พบไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่มผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้สูงอายุในช่วงอายุ 50-60 ปีจะพบได้มากที่สุด เพราะในวัยผู้ใหญ่มีการสะสมความเสื่อมสภาพของร่างกายและการเสียสมดุลมากกว่าวัยเด็ก รวมทั้งส่วนใหญ่จะมีความเครียดมากกว่าเด็กจึงกระตุ้นให้อาการต่างๆแสดงออกมาในวัยผู้ใหญ่มากกว่าวัยเด็ก

ผื่นในเด็ก โรคสะเก็ดเงินในเด็ก

สะเก็ดเงินติดต่อกันได้หรือไม่

สะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่สามารถติดต่อผ่านกันได้ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลในการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ป่วย สามารถรับประทานอาหารร่วมกันสัมผัสกันได้ตามปกติ

อาการของโรคสะเก็ดเงิน

สะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นได้ในผิวหนังทุกบริเวณของร่างกาย โดยส่วนใหญ่มักจะพบมากบริเวณศรีษะ เล็บมือ บริเวณที่มีการเสียดสีมาก และตามส่วนข้อพับและส่วนของผิวหนังที่มีกระดูกนูน เช่น บริเวณข้อเข่า ข้อศอก หน้าแข็งขา ก้นกบ เป็นต้น อาการเริ่มต้น ส่วนมากจะเกิดตุ่มสีแดงที่มีขอบเขตชัดเจน มีขุยหลุดลอกออกมาสีขาวๆ ตุ่มสีแดงนี้จะค่อยๆขยายขนาดขึ้นและหนาขึ้นและกลายเป็นสะเก็ดสีขาวคล้ายสีเงินปกคลุมผิวหนังอยู่  หากแกะเกาทำให้สะเก็ดหลุดออกมาจะเห็นเป็นผื่นที่แดงอักเสบและมีจุดเลือดอยู่ และหากปล่อยไว้สะเก็ดจะล่อนหลุดออกมาได้เรื่อยๆตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นขณะเดิน นั่ง นอน  จึงพบแผ่นสะเก็ดที่หลุดลอกได้ทั้งที่นั่งที่นอนที่เดินผ่าน อาการของผื่นสะเก็ดเงินอาจเป็นตลอดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ เป็นเฉียบพลันแล้วหายไป หรือเป็นๆหายๆตามสภาวะร่างกายก็ได้ ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการนำมาก่อน เช่นอาการปวดข้อและการผิดปกติของเล็บมือ เล็บเท้า เป็นต้น อาการของโรคนี้สามารถแสดงออกได้แตกต่างกันมากในแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นชนิดผื่น บริเวณที่เป็น หรือความรุนแรงของผื่น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย สภาพสิ่งแวดล้อม และระยะของโรคที่แตกต่างกัน

โดยลักษณะผื่นสะเก็ดเงินจัดออกเป็น 5 หมวดได้ดังนี้

1.Plaque Psoriasis

ผื่นลักษณะนี้เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยสะเก็ดเงิน โดยพบมากถึง 4 ใน 5 ของผู้ป่วยทั้งหมด พบได้บ่อยในส่วนหนังศรีษะ ข้อพับ ข้อศอก ข้อเข่า และหลังส่วนล่าง มีลักษณะนูนบวมแดง อักเสบ พุพอง

จากการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นผื่นชนิดนี้มักจะถูกกระตุ้นให้เกิดการเห่อได้จากความเครียด การได้รับบาดแผลทางผิวหนัง การได้รับยาบางชนิด และโรคกลุ่มคอและระบบหายใจ เช่น ภาวะต่อมทอลซินอักเสบ

1ผื่นสะเก็ดเงิน-Plaque-Psoriasis-หน้าอก 1ผื่นสะเก็ดเงิน-Plaque-Psoriasis-ขา 1ผื่นสะเก็ดเงิน-Plaque-Psoriasis-หน้า

2.Guttate Psoriasis

ผื่นรูปแบบนี้มักจะปรากฏขึ้นตั้งแต่หนุ่มสาวหรือช่วงวัยเด็ก มีลักษณะเป็นจุดแดงชมพูเล็กๆหลายๆจุดตามท้อง แขนขาส่วนบน หนังศรีษะและลำคอ วงผื่นจะไม่ใหญ่เหมือนในลักษณะแรก ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดมีลักษณะของผื่นนี้เพียง 2% เท่านั้น

2ผื่นสะเก็ดเงิน-Guttate-Psoriasis-หน้าอก 2ผื่นสะเก็ดเงิน-Guttate-Psoriasis-เท้า 2ผื่นสะเก็ดเงิน-Guttate-Psoriasis-ผิว

3.Inverse Psoriasis

ผื่นชนิดนี้มีลักษณะเป็นรอยแดงที่ดูเป็นมันเงาและเป็นรอยเรียบไม่นูนมาก และไม่เห็นเป็นเกล็ดหลุดลอก พบได้บ่อยในส่วนทึบ เช่น บริเวณขาหนีบ ใต้รักแร้ อวัยวะเพศ ก้นและใต้ราวนม ในผู้ป่วยผื่นลักษณะนี้ควรหลีกเลี่ยงการถูหรือเสียดสีบริเวณผื่น และการที่เหงื่อออกเยอะในบริเวณเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผื่นเห่อขึ้นได้

3ผื่นสะเก็ดเงิน-Inverse-Psoriasis-รักแร้ 3ผื่นสะเก็ดเงิน-Inverse-Psoriasis-ข้อพับ 3ผื่นสะเก็ดเงิน-Inverse-Psoriasis-ผิว

4.Pustular Psoriasis

ผื่นชนิดนี้พบได้ไม่บ่อยนัก มักจะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ ผื่นจะมีลักษณะเป็นแผลพุพองขึ้นอยู่ด้านบนผิวหนัง ผิวหนังจะมีสีออกแดง ดูคล้ายจะอักเสบแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ผื่นอักเสบ เป็นได้ทั้งในลักษณะเป็นเฉพาะจุดในร่างกาย หรือขึ้นตามมือและเท้า หรือขึ้นทั่วร่างกายก็ได้ โดยหากขึ้นทั่วร่างกายจะเรียกว่า “Generalized Pustular” ซึ่งในกรณีนี้จะค่อนข้างรุนแรงและต้องรีบดูแลรักษา

ผื่นชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงขึ้นได้ เช่น อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นแรง ไข้ขึ้นหนาวสั่น และคลื่นไส้อาเจียน

ผื่นรูปแบบนี้มีแนวโน้มที่จะถูกกระตุ้นได้จากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การหยุดยาในกลุ่มสเตอรอยด์กะทันหัน สารเคมีความเครียด การติดเชื้อ การโดนแสงแดดเผามากเกินไป

4ผื่นสะเก็ดเงิน-Pustular-Psoriasis 4ผื่นสะเก็ดเงิน-Pustular-Psoriasis-ผิว 4ผื่นสะเก็ดเงิน-Pustular-Psoriasis-มือ

5.Erythrodermic Psoriasis

ผื่นลักษณะนี้จะเป็นชนิดที่อันตรายที่สุด แต่ก็พบได้น้อยที่สุดในผื่นทุกชนิด จะเป็นลักษณะที่ผิวไหม้และขึ้นทั่วพื้นผิวของร่างกายในบริเวณกว้าง อาจจะมีพร้อมกับอาการหัวใจเต้นเร็ว ระดับอุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลง ผิวลอก และอาการคันได้ อาจจะเกิดขึ้นเมื่อความรุนแรงของผื่นชนิดอื่นเพิ่มขึ้นจนควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้เกิดผื่นชนิดนี้ขึ้นตามมา

หากผู้ป่วยมีอาการดังนี้ควรรีบพบแพทย์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอาจมีโรคและความเจ็บป่วยอื่นๆตามมาจากการที่สูญเสียโปรตีนและน้ำจากผิวในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และเสี่ยงต่อโรคปอดบวมและหัวใจวายได้

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเห่อของผื่นชนิดนี้ เช่น การติดเชื้อ อาการผิวไหม้ การแพ้ยา การหยุดยากะทันหัน หรือการได้รับการรักษาโดยยาบางชนิด เช่น น้ำมันดินเข้มข้น ยาต้านมาลาเรีย ลิเทียม คอร์ติโซน เป็นต้น

5ผื่นสะเก็ดเงิน-Erythrodermic-Psoriasis-มือ 5ผื่นสะเก็ดเงิน-Erythrodermic-Psoriasis-ขาว 5ผื่นสะเก็ดเงิน-Erythrodermic-Psoriasis-ผิว

โรคสะเก็ดเงินที่เล็บมือและเล็บเท้า

สะเก็ดเงินที่เล็บมีได้หลายรูปแบบ เช่น ชั้นผิวใต้เล็บหนาขึ้น (Subungual Keratosis) เล็บล่อน ชั้นเล็บแยกตัวออกจากชั้นผิว (Onycholysis) มีขุยสีขาวใต้เล็บ มีอาการผิดรูป ดูขรุขระ และเกิดหลุมบริเวณเล็บ เป็นต้น นอกจากนี้บริเวณเล็บที่เป็นผื่นมักเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา จึงทำให้มีการสันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นโรคกลากเกลื้อนหรือเชื้อราที่เล็บ และยังเสี่ยงทำให้การอักเสบของเนื้อเยื่อขอบเล็บ และอาการข้ออักเสบหรือเอ็นอักเสบ (Psoriatic arthropathy) ตามมา โดยส่วนใหญ่พบว่าเกิดการอักเสบที่บริเวณข้อนิ้วเท้าและนิ้วมือเป็นหลัก ในผู้ป่วยสะเก็ดเงิน 100 คน จะมีความเสี่ยงของการเกิดข้ออักเสบ 5 คน และผู้ที่เป็นข้ออักเสบร่วมด้วยส่วนใหญ่จะมีอาการของผื่นที่มากกว่าทั่วไป

สะเก็ดเงินที่เล็บ โรคสะเก็ดเงินที่เล็บมือ โรคสะเก็ดเงินเล็บเท้า

โรคและอาการข้างเคียงจากการเป็นสะเก็ดเงิน

โรคข้ออักเสบ

ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินทั้งหมด มีอัตราการเกิดโรคข้อและเอ็นอักเสบร่วมด้วยอยู่ที่ 5.4-7% โดยผู้ป่วยอาจมีอาการของข้ออักเสบนำมาก่อน เกิดขึ้นพร้อมๆกับผื่น หรือตามหลังผื่นก็ได้ (ส่วนใหญ่ 75% ของผู้ป่วยที่มีอาการข้ออักเสบมักมีอาการข้ออักเสบเกิดขึ้นนำมาก่อนการเกิดผื่น 15%มีอาการอักเสบเกิดขึ้นหลังจากเกิดผื่น และ 10% มีอาการอักเสบเกิดขึ้นพร้อมๆกับผื่น) บริเวณที่เสี่ยงต่อการอักเสบคือ บริเวณข้อศอก หัวเข่า ข้อมือ ข้อส่วนปลายนิ้วมือ ข้อไหล่ ข้อสะโพก ข้อกระดูกต้นคอและกระดูกสันหลัง เป็นต้น โดยจะมีอาการบวมแดงร้อน และหากปล่อยไว้จะเสี่ยงต่อการพิการได้เลยทีเดียว

โรคข้ออักเสบ

อาการหนาว อ่อนเพลียเรื้อรัง

ในผู้ที่มีอาการผื่นรุนแรง เช่นเป็นผื่นทั่วทั้งตัว มีอาการอักเสบ ผื่นขึ้นแดง และลอกตลอดเวลา จะทำให้ผู้ป่วยสูญเสียสารโปรตีนไปกับผิวที่ลอกออกเป็นจำนวนมาก และยังสูญเสียความร้อนของร่างกายและน้ำออกทางผิวหนังมากกว่าที่ควร ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจึงมักรู้สึกหนาวจากการเสียความร้อนทางผิวหนังและมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรังจากการสูญเสียโปรตีน

อาการอื่นๆ

นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้มีอาการไข้ขึ้น ปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว และเกิดตุ่มหนองทีผุพองขึ้นตามร่างกายได้

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินเกิดจากอะไร

ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสะเก็ดเงินเกิดจากอะไร โดยมีความเชื่อว่าเกิดจากสาเหตุร่วมกันหลายสาเหตุทั้งปัจจัยจากภายนอกและภายในร่างกายมาร่วมกันกระตุ้นให้อาการของโรคนี้แสดงออกมา โดยปัจจัยหลักปัจจัยหนึ่งคือการสืบทอดทางพันธุกรรมยีนส์รุ่นสู่รุ่น สำหรับครอบครัวที่พ่อและแม่เป็นโรคนี้ ลูกมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ 65-83% ถ้าพ่อหรือแม่คนเดียวที่เป็นโรคนี้ ลูกจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ 28-50% ในครอบครัวที่มีคนเป็นโรคนี้แต่พ่อและไม่ไม่ได้เป็นโรคโอกาสที่ลูกจะเสี่ยงเป็นโรคอยู่ที่ 24% และสำหรับในลูกที่ไม่มีพ่อแม่เป็นโรคนี้และพี่น้องของพ่อแม่ไม่ได้เป็นโรคนี้เช่นกัน โอกาสเกิดโรคจะอยู่ที่ 4% เท่านั้น และอีกสาเหตุหนึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังผิดปกติ เซลล์ผิวหนังมีการแบ่งตัวเร็วกว่าในคนทั่วไปหลายเท่า ผิวหนังจึงมีสภาพเป็นชั้นหนา แต่ชั้นผิวหนังที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่มีการยึดเหนี่ยวของเซลล์ผิวที่ดี จึงทำให้เคราติน หรือเส้นใยผิวหนังที่ชั้นนอกสุด เกิดการการหลุดลอกได้โดยง่าย โดยจะมีลักษณะเป็นแผ่นๆหลุดลอกออกมา

ชั้นผิวหนังในผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน

ปัจจัยการกำเริบของผื่นสะเก็ดเงิน

ปัจจัยการกำเริบในผู้ป่วยแต่ละคนมักไม่เหมือนกัน เราจึงควรศึกษาสังเกตว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการกำเริบตัวเราเองโดยเฉพาะและพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านั้น โดยส่วนใหญ่จากสถิติมีสาเหตุที่เห็นได้ชัดจากปัจจัยเหล่านี้

1. ความเครียดกับโรคสะเก็ดเงิน

  • ความเครียดทางใจและอารมณ์แปรปรวน

ในผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกเป็นปมด้อย รู้สึกกลัวและกังวลคนรอบข้างรังเกียจ อยากได้รับการยอมรับจากสังคม เพื่อน ครอบครัว และคนรัก จึงทำให้เกิดความเครียดสะสมได้ง่าย และความเครียดนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การหลั่งสารต่างๆในสมองแปรปรวนและทำร้ายร่างกาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อาการผื่นสะเก็ดเงินกำเริบขึ้นได้อย่างชัดเจน

ความเครียดทางใจ

  • ความเครียดทางกาย

นอกจากความเครียดทางใจแล้ว ความเครียดทางกายก็ส่งผลให้เกิดอาการกำเริบได้เช่นกัน ความเครียดทางกายคือการที่ร่างกายสะสมความเหนื่อยล้า ร่างกายมีความอ่อนแอสูง ทำให้สมดุลต่างๆยิ่งทำงานแย่ลง เซลล์ผิวหนังแม้ว่าจะเป็นเซลล์ที่อยู่ภายนอกสุดของร่างกาย แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันอย่างตัดกันไม่ได้กับสภาวะภายในร่างกาย เมื่อร่างกายสมดุลแปรปรวนและอ่อนแอจึงทำให้ผื่นกำเริบได้มากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นความเครียดทางใจและกาย ตั้งแต่หงุดหงิดง่าย เครียดสะสม ไปจนถึงอาการนอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนเพลีย ล้วนทำให้เกิดการกำเริบของโรคนี้ได้

ความเครียด

2.โรคภายในร่างกายของผู้ป่วย ในบางครั้งโรคบางโรคก็ส่งผลให้เกิดอาการกำเริบได้ เช่น โรคตับ โรคไต โรคติดเชื้อซ่อนเร้น และโรคอวัยภายในเสื่อมสภาพต่างต่างๆ เป็นต้น

โรคภายในร่างกายของผู้ป่วย

3.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การที่ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่นช่วงเวลามีประจำเดือนในผู้หญิง ช่วงวัยทอง หรือช่วงเวลาตั้งครรภ์และหลังคลอดลูก อาจส่งผลให้เกิดการเห่อขึ้นได้

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

4.การแพ้ยาและสารเคมี ในกลุ่มยาและสารเคมีบางชนิดจะส่งผลให้เกิดการเห่อและทำให้อักเสบเพิ่มขึ้นได้ เช่น ยารักษาโรคหัวใจบางชนิด ยารักษาโรคมาลาเรีย ยาลดความดันสูง ยาแก้ปวด ยารักษาโรคจิตประสาทกลุ่มยาลิเทียม (Lithium) และการใช้ยาประเภทสเตอรอยด์ทั้งรูปแบบการทา แบบรับประทานและแบบฉีดอย่างต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะในยาสเตอรอยด์กลุ่มรับประทานและฉีดเมื่อหยุดใช้มักจะมีการเห่อเพิ่มขึ้นได้รุนแรงและรวดเร็ว   ยาบางชนิดเช่น ยาไทย ยาจีน ยาหม้อ ยาลูกกลอนต่างๆ อาจมีการแอบผสมสเตอรอยด์เข้าไปในตัวยาเพื่อทำให้เห็นผลชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อทานต่อเนื่องในระยะยาวจะเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงสูง ไม่ว่าจะเป็นโรคคุชชิ่ง ซินโดรม โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน กระดูกผุพรุน โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคกล้ามเนื้อลีบ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นต้น   สารเคมีต่างๆในท้องตลาดล้วนทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้ เราจึงควรต้องระวังสารเคมีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก ไปจนถึงเครื่องสำอางค์บำรุงผิวหน้าผิวกายต่างๆที่ประกอบด้วยสารเคมี อาจทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองและอักเสบที่เพิ่มมากขึ้นได้

การแพ้ยาและสารเคมี

5.การติดเชื้อจากเชื้อโรคและจุลชีพต่างๆ เชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส หรือปรสิตจุลชีพและแมลงกัดต่อยต่างๆ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบที่ผิวเพิ่มขึ้นและทำให้ผื่นเห่อยิ่งขึ้นได้ เช่น โรคเอดส์ (HIV) โรคคออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบที่เกิดจากติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น เมื่อเกิดการติดเชื้อดังกล่าวจะทำให้ยากต่อการควบคุมความรุนแรงของโรคและการกำเริบของผื่นเมื่อมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

การติดเชื้อ

6.การขูดข่วนบริเวณผิวหนังหรือได้รับบาดเจ็บกระทบกระแทกจากภายนอก เราจะสังเกตได้ว่าตำแหน่งของผื่นมักพบได้มากในบริเวณที่มีการเสียดสีและกระทบกับสิ่งภายนอก เช่นบริเวณหัวเข่า ข้อศอก ก้นกบ เป็นต้น และการแคะแกะเกาผื่น ถู ดึง หยิก อาจยิ่งทำให้เกิดการลุกลามของผื่นในบริเวณมากขึ้น ซึ่งไม่รวมถึงการเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกด้วย   ปัจจัยเหล่านี้ในบางครั้งอาจไม่ใช่เพียงปัจจัยใดปัจจัยเดียวที่เป็นสาเหตุทำให้ผื่นกำเริบขึ้นได้ เช่นสารเคมีหนึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคืองเล็กน้อย แต่เมื่อร่วมกับปัจจัยอื่นๆหลายๆปัจจัยแล้ว ทำให้เกิดการกำเริบขึ้นได้ ดังนั้นสาเหตุส่วนใหญ่ของการกำเริบของผื่นจึงมักเกิดจากปัจจัยหลายๆปัจจัยร่วมกัน นอกจากการหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวแล้ว ยังมีพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพอื่นๆเช่น การสูบบุหรี่ กินเหล้า ที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้ร่างกายมีพื้นฐานสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงของการเสียสมดุลของร่างกายลงไป

การขูดข่วนบริเวณผิวหนัง การเกาผิวหนัง

การตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่

เราสามารถตรวจสอบโรคผิวหนังชนิดนี้ได้จากการนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางคลีนิกหรือโรงพยาบาลในห้องปฏิบัติการ และการสืบประวัติจากคนไข้ว่ามีผู้ร่วมสายเลือดที่มีประวัติเป็นโรคนี้มาก่อนหรือไม่

วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงิน

ในปัจจุบันโรคสะเก็ดเงินยังเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถกดระงับอาการและบรรเทาให้เกิดอาการผื่นน้อยที่สุดหรือให้เหมือนผิวสภาพปกติได้ ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลักๆอยู่ 3 วิธี แบ่งเป็นการใช้ยารักษาโรคสะเก็ดเงินทางการทา กินและฉีด และการใช้แสงอัลตราไวโอเล็ตบำบัด โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.ยาทาสะเก็ดเงิน

วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ที่มีผื่นเฉพาะที่ เป็นบางจุด ไม่ได้มีทั่วร่างกายในวงกว้าง (หรือไม่เกิน 1 ใน 10 ของพื้นผิวบนร่างกาย) โดยส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการทาก่อน การรักษาด้วยการเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าแบบกินหรือแบบฉีด เนื่องจากไม่มีการรับประทานโดยตรงจึงเกิดผลข้างเคียงได้น้อยกว่า ยารักษาโรคสะเก็ดเงินที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้

1.1 ยากลุ่มสเตอรอยด์  ยากลุ่มสเตอรอยด์มีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบครีม สารละลาย หรือแบบขี้ผึ้ง โดยแบ่งเป็นชนิดที่มีความแรงมาก แรงปานกลาง และแบบอ่อน ดังนี้

  1. ยากลุ่มสเตอรอยด์ที่มีความแรงมาก เช่น Clobetasol ยากลุ่มนี้เนื่องจากมีความแรงสูงจึงมักทำให้เกิดผลได้รวดเร็วและชัดเจนกว่าแบบอื่น แต่ก็มีข้อเสียที่รุนแรงกว่ากลุ่มอื่นเช่นเดียวกัน โดยเมื่อหยุดทามักเกิดการกำเริบเห่อขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค คุชิ่งซินโดรม (Cushing Syndrome) หรือโรคที่เกิดจากการได้รับสเตอรอยด์มากผิดปกติอีกด้วย
  2. ยากลุ่มสเตอรอยด์ที่มีความแรงปานกลาง เช่น Betamethasone,Triamcinolone
  3. ยากลุ่มสเตอรอยด์ที่มีความอ่อน เช่น Prednisolone, Hydrocortisone cream เหมาะกับการใช้ทาผื่นบริเวณผิวอ่อน เช่นใบหน้าและข้อพับต่างๆ

การเลือกชนิดรูปแบบของยาสเตอรอยด์แนะนำเลือกจากบริเวณที่เป็นผื่น โดยพิจารณาได้โดยมีหลักดังนี้

  • รูปแบบขี้ผึ้ง เหมาะกับผื่นที่มีความหนาเป็นปื้น และเป็นตามบริเวณผิวที่ไม่อ่อนมากเช่น บริเวณเท้า แขนขา มือ ในบริเวณนี้แนะนำใช้ชนิดที่มีฤทธิ์แรงได้
  • รูปแบบครีม เหมาะกับผื่นที่บริเวณข้อพับและผิวอ่อน เช่นผิวหน้า แนะนำเลือกใช้ชนิดที่มีฤทธิ์ปานกลางจนถึงอ่อน
  • รูปแบบสารละลายและครีมเหลว เหมาะกับการใช้กับผื่นบริเวณศรีษะ จะทำให้เข้าซึมลึกได้ดีกว่ารูปแบบครีมและขี้ผึ้ง สามารถใช้ชนิดที่มีฤทธิ์แรงได้

ข้อดีของการใช้ยาสเตอรอยด์คือเห็นผลเร็ว สามารถหาซื้อง่าย ใช้ทาได้ง่าย แต่มีข้อเสียที่ค่อนข้างเด่นชัดคือการเกิดผลข้างเคียงต่างๆเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น คุชิ่งซินโดรม การเกิดสภาวะดื้อยา ผิวหนังบางลง อวัยวะในร่างกายต่างๆได้รับผลกระทบ ยาเข้าไปกดการทำงานของต่อมหมวกไตทำให้ทำงานผิดปกติ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทั้งรูปแบบทาหรือรูปแบบรับประทานล้วนทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย และหากหยุดใช้ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเห่อมากขึ้นอีกด้วย จึงควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์และเภสัชกรให้ดีก่อนการใช้ หากซื้อมาใช้เองโดยขาดความรู้จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผลอันตรายได้มาก

1.2 ยาทากลุ่มน้ำมันดิน (Crude Coal Tar/Wood Tars 1-5%)

  • ยากลุ่มนี้เป็นชนิดสารธรรมชาติประเภท ไฮโดรคาร์บอน ที่เกิดขึ้นจากการทับถมกันของต้นไม้และถ่านหินในระยะเวลานาน
  • ยาชนิดนี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซล์ (Antimitotic) โดยนำไปใช้ทาบริเวณผื่น วันละ1-2 ครั้ง
  • ยากลุ่มน้ำมันดินมีในรูปแบบของแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน (Tar Shampoo) ที่เหมาะกับนำไปใช้รักษาสะเก็ดเงินบริเวณศรีษะ
  • ข้อดีของยากลุ่มน้ำมันดินคือผลข้างเคียงหลังจากการใช้น้อย เมื่อออกฤทธิ์ทำให้ผื่นและอาการอักเสบบรรเทาลงแล้ว แม้ว่าอาจจะกลับมาเป็นได้อีก แต่ก็จะไม่เห่อกลับขึ้นมารวดเร็วเหมือนการทายากลุ่มสเตอรอยด์
  • ข้อเสียของยากลุ่มน้ำมันดินมีดังนี้
    • การหาซื้อได้ยาก โดยส่วนใหญ่เป็นยาชนิดที่ไม่ได้จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป สามารถหาได้เฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ๆหรือโดยการแจ้งให้เภสัชกรผสมขึ้นมาเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถหาซื้อแชมพูน้ำมันดินได้ในท้องตลาดไม่ยากนักเพราะมีบริษัทหลายเจ้าผลิตออกมารองรับ
    • กลิ่นของยาค่อนข้างแรง หลายคนไม่สามารถรับกลิ่นเหม็นนี้ได้ โดยเฉพาะในรูปแบบครีมที่ทั้งสีและกลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์
    • ไม่เหมาะกับการทาในบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่นใบหน้าและตามข้อพับต่างๆ เพราะอาจเกิดการระคายเคืองผิวได้
    • ระยะเห็นผลค่อนข้างช้ากว่าแบบสเตอร์รอยด์หรือสารเคมีอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอาจเห็นได้เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์

1.3 ยาแอนทราลิน/ดิทรานอล (Anthralin/Dithranol)

  • ยากลุ่มนี้สกัดได้จากอาหารธรรมชาติประเภทถั่วชนิดหนึ่งที่พบได้ในแถบเอเชียใต้และอเมริกาใต้
  • แอนทราลินมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อรา และหลังจากศึกษาวิจัยก็พบว่าสามารถช่วยรักษาสะเก็ดเงินได้เช่นกัน
  • ยาชนิดนี้อยู่ในรูปแบบของครีมและขี้ผึ้ง เหมาะกับการใช้บริเวณที่ผื่นค่อนข้างหนา ไม่ควรนำไปใช้กับบริเวณผิวอ่อนเช่นใบหน้าหรือข้อพับและไม่ควรทาต่อเนื่องในระยะยาวเพราะมีความแรงสูง และเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวสูง ควรเริ่มจากการทาในความเข้มข้นน้อยแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น ย่อ* ในวันแรกแนะนำเริ่มจากความเข้มข้น 0.1% และค่อยๆเพิ่มเป็น 0.25% และตามด้วย 1% ในระยะประมาณสามถึงห้าวันนับจากวันที่เริ่มทา
  • อย่างไรก็ตามยาชนิดนี้ยังไม่มีขายในประเทศไทย จึงค่อนข้างหาซื้อได้ยาก

1.4 Calcipotriol Ointment ยาชนิดนี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ แต่มีข้อเสียคือราคาที่สูง และทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ง่าย

1.5 กรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) กรดซาลิซิลิกคือยาทาประเภทหนึ่งที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อการระคายเคืองเช่นเดียวกัน จึงเหมาะกับการใช้ทาบริเวณที่ผื่นค่อนข้างหนา เช่นบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า หรือหนังศรีษะ ควรหลีกเลี่ยงการทาในบริเวณผิวอ่อน และไม่ควรใช้กับผื่นสะเก็ดเงินในเด็กเพราะเมื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอาจจะเป็นพิษได้ ปัจจุบันมีในรูปแบบของครีมและขี้ผึ้ง การทำงานของมันคือช่วยให้ตัวสะเก็ดลอกออกทำให้ยาทาชนิดอื่นๆสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

1.6 ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินดี3 (Vitamin D3) / แคลซิโพทริออล (Calcipotirol) ยานี้เป็นหนึ่งในอนุพันธ์ของวิตามินดี3 (Vitamin D3) มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ และยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวที่ผิดปกติ ช่วยคืนสมดุลให้เซลล์ผิวหนัง และข้อดีอย่างหนึ่งของยาชนิดนี้คือกลิ่นไม่เหม็นและไม่มีสีเหมือนยากลุ่มน้ำมันดินและยาแอนทราลิน จึงใช้ได้ง่ายขึ้น ยากลุ่มนี้มีในรูปแบบของครีมและขี้ผึ้ง

1.7 ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (ฺVitamin A) / เรตินอล (Retinol) ยากลุ่มนี้ในปัจจุบันทั้งในวงการแพทย์และความงามนำมาใช้ในการรักษาโรคผิวหนังหลายชนิด โดยเฉพาะในเรื่องของสิว แต่ในด้านของโรคสะเก็ดเงินมีการนำมาใช้กับผู้ป่วยแต่ยังอยู่ในขั้นศึกษาผลเท่านั้นจึงยังไม่มีการวางขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในส่วนของยาที่ใช้สำหรับโรคนี้

1.8 ยากลุ่มบำรุงความชุ่มชื้นให้ผิว ผื่นของสะเก็ดเงินถ้าหากมีอาการผิวแห้งจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่ายขึ้น การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจะช่วยลดปัญหาระคายเคืองและช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้อีกด้วย

2.ยากินและยาฉีด

การรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เพราะมีผลข้างเคียงและอันตรายค่อนข้างสูงกว่าแบบอื่น มักใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการค่อนข้างรุนแรงหรือมีผื่นในบริเวณกว้าง (ครอบคลุมมากกว่าหนึ่งในห้าของบริเวณผิวหนังในร่างกาย) หรือผื่นดังกล่าวมีอาการดื้อต่อยาทา ยารักษาโรคสะเก็ดเงินชนิดรับประทานที่ใช้กันในปัจจุบันมีดังนี้

2.1 ยาเรทินอยด์ (Retinoids)

  • เรทินอยด์จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับยาทาเรตินอล คือเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอเช่นเดียวกัน
  • ยาที่มีจำหน่ายในประเทศไทยคือ แอซิเทรทิน (Acitretin) เหมาะกับผื่นชนิดตุ่มหนองที่เป็นรอบตัว ไม่เหมาะกับผื่นหนาเพราะจะได้ผลไม่ชัดเจน
  • ข้อเสียของยากลุ่มนี้คือเกิดผลข้างเคียงค่อนข้างสูง ผู้รับประทานมักมีอาการผมร่วงรุนแรง ปากแห้งและแตกง่าย มีอาการผิวแห้งและคัน นอกจากนี้ผู้หญิงที่รับประทานยากลุ่มนี้อยู่ต้องป้องกันไม่ให้มีบุตร หรือรับประทานยาคุมกำเนิดตลอดเวลาที่รับประทานและเนื่องจากยาชนิดนี้มีการสะสมตามไขมันภายในร่างกายเรา หลังจากหยุดทานแล้วก็ต้องคุมกำเนิดต่อเนื่องไปอีกถึง 2 ปีถึงจะเริ่มมีลูกได้ มิฉะนั้นเด็กอาจเสี่ยงต่อการพิการแต่กำเนิดได้

2.2 ยาเมโทเทร็กเซต (Methotrexate)

  • ยาเมโทเทร็กเซต เหมาะกับผู้ป่วยมีมีผื่นรุนแรงขึ้นทั่วตัว มีอาการอักเสบและตุ่มหนอง ผื่นไม่ตอบสนองกับยาชนิดทา ผื่นเกิดขึ้นในบริเวณที่ทำให้เกิดอาการพิการไม่สามารถใช้งานบางอวัยวะได้ เช่นผื่นที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หรือผื่นชนิดที่จำเป็นต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น อยู่ในบริเวณที่ทำให้ยากต่อการเข้าสังคมได้
  • ยาชนิดนี้มีคุณสมบัติในการลดการแบ่งตัวของเซลล์ จึงทำให้เซลล์ผิวหนังที่แบ่งตัวมากผิดปกติลดลงได้ แต่อย่างไรก็ตามยาชนิดนี้ยังเข้าไปกดการแบ่งตัวของอวัยวะปกติอื่นๆอีกด้วย เช่นเซลล์ไขกระดูก และยังส่งผลเสียต่อตับไต ผู้ป่วยโรคตับไตจึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานยาชนิดนี้ อีกทั้งผู้ป่วยโรควัณโรค โรคแผลกระเพาะอาหาร และโรคที่ติดเชื้อรุนแรง รวมถึงผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์บุตรและกำลังให้นมบุตรก็ไม่ควรเลือกรับประทายานี้

2.3 ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporin)

  • ยาชนิดนี้มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิวหนัง โดยการขัดขวางการทำงานของเม็ดเลือดขาวไม่ให้ไปกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง
  • ยาชนิดนี้เหมาะกับการใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการขั้นรุนแรง ตั้งแต่ขั้นรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
  • ยาชนิดนี้ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคมะเร็ง ผู้ที่กำลังติดเชื้อ ผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคไต โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาไซโคลสปอริน และหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน

2.4 ยาฉีดกลุ่มชีวสาร (Biologic Agents)

  • ข้อดีของยาฉีดกลุ่มชีวสารคือเป็นยาชนิดใหม่ที่เห็นผลได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทำให้ผื่นที่อักเสบดีขึ้น และบรรเทาอาการปวดข้อได้ดี
  • ข้อเสียขอยากลุ่มนี้คือราคาที่สูงมาก อีกทั้งเมื่อหยุดฉีดยาแล้วอาจทำให้กลับมาเป็นได้อีก ไม่ได้ช่วยให้หายขาดในระยะยาว และการใช้งานยังค่อนข้างลำบากกว่าแบบอื่น คือจำเป็นต้องฉีดเข้าเส้นเลือดหรือเข้าบริเวณใต้ผิวหนังเท่านั้น ไม่สามารถรับประทานหรือนำไปทาได้

3.การรักษาด้วยแสงแดด

การรักษาด้วยแสงแดด (Phototheraphy / Light Therapy) เป็นวิธีที่ได้มาจากการสังเกตผลของแสงแดดธรรมชาติต่อผื่นสะเก็ดเงิน ในอดีตนับร้อยปีที่ผ่านมา ประเทศอิสราเอล ผู้ป่วยจะทำการรักษาตนเองด้วยการลงไปแช่ในทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) และขึ้นมาอาบแสงแดด ปรากฎผลว่าผื่นต่างๆดีขึ้นอย่างชัดเจน ต่อมาเมื่อวิทยาการก้าวหน้าขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพบว่าแสงแดดในช่วงคลื่น 311-312 นาโนเมตรจะช่วยรักษาสะเก็ดเงินได้ดี หรือคลื่นแสงในช่วง 320-400 นาโนเมตรจะช่วยให้ผื่นอักเสบดีขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้ยากลุ่มโซราเลน แต่เนื่องจากการรับแสงจากธรรมชาติไม่สามารถควบคุมปริมาณช่วงคลื่นได้สม่ำเสมอ จึงได้มีการคิดค้นเครื่องฉายแสงอัลตราไวโอเลตขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย การรักษาสะเก็ดเงินด้วยแสงแดดจึงทำได้ 2 วิธี โดยการตากแดดแบบธรรมชาติ และด้วยการใช้เครื่องฉายแสงอัลตราไวโอเล็ตตามรพ.โรคผิวหนังหรือศูนย์พยาบาลเฉพาะทางที่มีเครื่องดังกล่าว มีรายละเอียดของแต่ละวิธีดังนี้

3.1 วิธีการตากแดดธรรมชาติ โดยการเริ่มจากตากแดดอ่อนๆและค่อยๆรับแสงที่แรงขึ้นนานขึ้นจนถึงระดับที่เหมาะสมที่ไม่ทำให้ผิวหนังเกิดอาการไหม้แดด วิธีการนี้จะควบคุมในทางปฏิบัติได้ค่อนข้างยาก เพราะแสงแดดในแต่ละวันมีปริมาณไม่เท่ากันนั่นเอง

วิธีการตากแดดธรรมชาติ

3.2 วิธีการใช้เครื่องฉายอัลตราไวโอเล็ต วิธีการนี้สามารถควบคุมการปริมาณคลื่นแสงได้ดีกว่า มีแนวทางการรักษาหลักๆสองแบบได้แก่

  1. การใช้แสงยูวีบี (UVB) หรือเรียกว่า UVB Phototherapy
  2. การใช้แสงยูวีเอ (UVA) ร่วมกับยาโซราเลน (Psoralen) หรือเรียกว่า PUVA Therapy  

UVB Phototherapy การรักษาสะเก็ดเงินด้วยแสงแดด วิธีการใช้เครื่องฉายอัลตราไวโอเล็ต

ยาโซราเลนมีทั้งชนิดทาและรูปแบบรับประทาน มีรายละเอียดดังนี้

  1. ยากลุ่มโซราเลนรูปแบบรับประทาน – ในรูปแบบนี้เนื่องจากจำเป็นต้องให้ยาดูดซึมทางลำไส้และส่งไปถึงผิวหนังได้ทัน ผู้ป่วยจึงจะต้องทานยาในช่วงก่อนเข้าอาบแสงประมาณ 2 ชั่วโมง การอาบแสงจะต้องสวมแว่นตาดำเพื่อป้องกันอันตรายต่อดวงตาทั้งในระหว่างที่กำลังอาบแสง และหลังจากอาบแสงอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของจอตา
  2. ยากลุ่มโซราเลนรูปแบบทา – ยาจะอยู่ในรูปแบบของครีมหรือสารละลาย และจะทาก่อนเข้าอาบแสง การใช้ยาชนิดนี้มีข้อดีคือไม่ต้องกังวลว่ายาโซราเลนจะส่งผลเสียและเป็นพิษต่อจอตาเหมือนวิธีการรับประทาน

ข้อเสียของยาโซราเลนคือจะส่งผลให้ผู้ป่วยไวต่อแสง ทำให้เซลล์ผิวหนังเสื่อม ไหม้ และเกิดรอยฝ้ากระรอยดำได้หากใช้เกินขนาด โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเข้ารับการบำบัดด้วยแสงจากเครื่องนี้สัปดาห์ล่ะ 2-3 ครั้ง และมักจะเริ่มเห็นผลที่ดีขึ้นภายใน 1-2 เดือน โดยในระหว่างการเข้ารักษา แพทย์จะต้องดูการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาด้วยแสงทั้งในด้านของระยะเวลาการรับแสงและปริมาณความเข้มข้นของแสงให้เข้ากับผู้ป่วยแต่ละคน

PUVA Therapy

ข้อเสียของรักษาด้วยแสงคือความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง ผู้เข้ารับการรักษาต้องระวังไม่ให้เกิดการไหม้ของผิวหนังหากได้รับแสงเกินขนาด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยการอาบแสงยูวีบีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ จึงควรตรวจสภาพผิวหนังอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจสอบหากมีอาการของมะเร็งผิวหนังขั้นเริ่มต้น นอกจากมะเร็งผิวหนังแล้ว ยังมีข้อเสียต่อจอประสาทตา อาจเสี่ยงทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้อีกด้วย

การรักษาสะเก็ดเงินที่ศรีษะ

แบ่งได้ตามความรุนแรงดังต่อไปนี้

  1. ความรุนแรงน้อย
    • แนะนำเริ่มจากการใช้แชมพูน้ำมันดิน นวดประมาณห้านาทีแล้วล้างน้ำออก และในกลุ่มที่ความรุนแรงของผื่นยังไม่มากเหมาะกับการใช้ยาสเตอรอยด์ชนิดสารละลายทาบริเวณผื่นที่เป็น
  2. ความรุนแรงมาก
    • เหมาะกับการใช้ยาสเตอรอยด์ชนิดครีม ควรใช้สารให้ความชุ่มชื้นป้องกันผิวแห้ง เช่นน้ำมันเจีย น้ำมันมะกอก ทาเพื่อให้สะเก็ดนุ่มลง การสระด้วยแชมพูน้ำมันดินแนะนำใช้วันเว้นวัน และนวดทิ้งไว้ห้านาทีเช่นกัน
    • ในผื่นชนิดที่รุนแรงมีน้ำเหลือง ควรล้างด้วยน้ำเกลือวันละสามถึงสี่ครั้งจนกว่าน้ำเหลืองจะแห้ง และใช้สารเพิ่มความชุ่มชื้นทาก่อนทายาเช่นเดียวกัน

การรักษาสะเก็ดเงินที่ศรีษะ สะเก็ดเงินบริเวณหนังศรีษะ

วิธีการทายาบริเวณหนังศรีษะ แหวกเส้นผมออกมาแล้วทายาให้ตรงจุด ควรทาให้ต่อเนื่องทุกวัน ทาให้ตรงตามเวลา และทาเป็นระยะนานพอให้เห็นผลได้   แชมพูน้ำมันดิน ในการใช้แชมพูน้ำมันดินสระผม ในระยะเริ่มต้นโดยปกติจะใช้วันเว้นวันต่อเนื่องจนกว่าผื่นและขุยจะดีขึ้น และจึงลดปริมาณลงประมาณ 1-2 สัปดาห์ครั้งแทน สามารถใช้ร่วมกับแชมพูชนิดอื่นได้ และเมื่อหายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใข้แชมพูน้ำมันดินสระผมไปตลอด แต่ให้สังเกตดูตามอาการ

ตอบคำถามเกี่ยวกับสะเก็ดเงินบริเวณหนังศรีษะ

โรคสะเก็ดเงินทำให้ผมร่วงหรือไม่ โดยหลักแล้วไม่ได้ทำให้ผมร่วง เพราะผื่นและการอักเสบที่เกิดขึ้นเกิดบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ลึกถึงรากผม แต่ส่วนใหญ่อาการผมร่วงจะเกิดขึ้นจากการเกา และผลข้างเคียงของการใช้ยาและสารเคมีต่างๆในการรักษา   ทำไมจึงไม่ควรให้หนังศรีษะโดนความร้อน การที่หนังศรีษะได้รับความร้อนสูง ไม่ว่าจากการสระผมด้วยน้ำร้อน  การไดร์ผม อบไอน้ำผม ดัดผมด้วยความร้อน จะทำให้หลอดเลือดแดงใต้หนังศรีษะขยายตัวและเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวมาบริเวณหนังศรีษะมากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้ผื่นมีอาการอักเสบเพิ่มขึ้นนั่นเอง

หลักการดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้อาการกำเริบ 
    • โดยการสังเกตตัวเองว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้เกิดการกำเริบของผื่น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งนี่เป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างลำบากสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ เนื่องจากส่วนใหญ่การกำเริบจะเกิดจากปัจจัยหลายๆปัจจัยร่วมกัน จึงทำให้ยากต่อการสังเกต ส่งผลให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องจำกัดตัวเองจากปัจจัยหลายอย่างที่ไม่แน่ใจว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลจริงหรือไม่ และเมื่อฟีงข้อมูลจากหลายที่ก็ต้องเจอกับข้อห้ามนู่นห้ามนี่เต็มไปหมดจนส่งผลให้ใช้ชีวิตอย่างอึดอัดและเกิดความเครียดได้ในหลายคน และส่งผลให้แม้ว่าจะควบคุมตัวเองมากเท่าไรแต่เมื่อเกิดความเครียดก็ทำให้อาการกำเริบตามมาอยู่ดี ดังนั้นหากเราเผชิญกับข้อห้ามมากมาย การหาจุดสมดุลให้กับตัวเองที่ไม่ตึงเครียดเกินไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ
  1. ดูแลสภาพจิตใจหลีกเลี่ยงความเครียด
    • เพื่อน สังคม ครอบครัว คนรัก เป็นกลุ่มที่สำคัญมากในการช่วยให้กำลังใจผู้ป่วย ผู้ป่วยโรคนี้ต้องเผชิญกับความกดดันและความรู้สึกเป็นปมด้อย กลัวการโดนรังเกียจและปฏิเสธจากสังคม ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้าง โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่สภาพจิตใจและอารมณ์ส่งผลต่ออาการอย่างมาก โดยเฉพาะความเครียด ความโกรธและอารมณ์ที่แปรปรวนย่อมส่งผลเสียต่อการรักษาและมีส่วนทำให้อาการกำเริบได้
  1. ดูแลพื้นฐานสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ
    • โดยหลักพื้นฐานคือนอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อร่างกาย และหลักเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพเช่นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งนี่เป็นพื้นฐานที่เรารู้กันเพียงแต่ทำให้สมบูรณ์ได้ยาก เพียงแต่ถ้าเราทำได้ จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เราฟื้นฟูจากโรคสะเก็ดเงินได้
  2. ดูแลสภาพผิว
    • หลีกเลี่ยงการแกะเกา ระวังไม่ให้ผิวหนังโดนกระทบเสียดสีขีดข่วน หลีกเลี่ยงการโดนสารเคมีเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว คอยสังเกตผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เครื่องสำอางค์บำรุงผิว เพราะอาจเป๋นส่วนสำคัญทำให้อาการกำเริบได้ และคอยดูแลเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เพื่อไม่ให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย

“รักษาสะเก็ดเงิน สำคัญต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ”

อ้างอิงจาก si.mahidol.ac.th, kanchanapisek.or.th